Svoboda | Graniru | BBC Russia | Golosameriki | Facebook
ข้ามไปเนื้อหา

องคชาตมนุษย์

หน้าถูกกึ่งป้องกัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

องคชาตของมนุษย์
องคชาตขณะอ่อนตัว โดยส่วนของขนหัวหน่าวถูกนำออกไปเพื่อแสดงรายละเอียดทางกายวิภาคศาสตร์
รายละเอียด
คัพภกรรมปุ่มอวัยวะสืบพันธุ์, ส่วนทบอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ
หลอดเลือดแดงหลอดเลือดแดงด้านบนขององคชาต, หลอดเลือดแดงลึกขององคชาต, หลอดเลือดแดงของกระเปาะองคชาต
หลอดเลือดดำหลอดเลือดดำด้านบนขององคชาต
ประสาทเส้นประสาทด้านบนขององคชาต
น้ำเหลืองต่อมน้ำเหลืองผิวขาหนีบ
ตัวระบุ
ภาษาละตินpenis, พหุพจน์ penes
MeSHD010413
TA98A09.4.01.001
TA23662
FMA9707
อภิธานศัพท์กายวิภาคศาสตร์

ในกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ องคชาตเป็นอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของเพศชาย (อวัยวะสอดใส่ระหว่างการสืบพันธุ์) ที่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของการขับถ่ายปัสสาวะและการหลั่งน้ำอสุจิ ส่วนประกอบหลักขององคชาตได้แก่ ราก (Radix) ลำตัว (Corpus) และเยื่อบุผิวขององคชาตซึ่งรวมถึงผิวหนังบริเวณลำองคชาตและหนังหุ้มปลายองคชาตที่ห่อหุ้มหัวองคชาต ลำตัวขององคชาตประกอบด้วยเนื้อเยื่อสามแท่ง ได้แก่ คอร์ปุส คาเวอร์โนซุม (Corpus cavernosum) สองแท่งที่ด้านหลัง และคอร์ปุส สปอนจิโอซุม (Corpus spongiosum) ซึ่งอยู่ระหว่างกลางของคอร์ปุส คาเวอร์โนซุม ท่อปัสสาวะผ่านต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นจุดที่ท่อฉีดอสุจิเชื่อมต่อกับท่อปัสสาวะ และจากนั้นผ่านไปยังองคชาต ท่อปัสสาวะทอดตัวไปในคอร์ปัส สปอนจิโอซุม และเปิดออกที่ปลายหัวองคชาตในรูปแบบของช่องเปิดที่เรียกว่า รูปัสสาวะ (Meatus)

การแข็งตัวขององคชาตเป็นกระบวนการที่องคชาตขยายตัว แข็งตัว และเปลี่ยนทิศทางในลักษณะตั้งฉาก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการกระตุ้นทางเพศ การแข็งตัวสามารถเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่เกี่ยวกับเพศได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นและระหว่างการนอนหลับ ในสภาวะที่องคชาตไม่แข็งตัว องคชาตจะมีขนาดเล็กกว่า นุ่มและยืดหยุ่นได้ และหัวองคชาตจะถูกคลุมด้วยหนังหุ้มปลาย ในสภาวะที่องคชาตแข็งตัวเต็มที่ ส่วนลำองคชาตจะมีความแข็งแรง และหัวองคชาตจะพองตัวแต่ไม่แข็งตัว องคชาตที่แข็งตัวอาจมีลักษณะตรงหรือโค้ง และอาจชี้ไปในทิศทางขึ้น ทิศทางลง หรือชี้ตรงไปข้างหน้า ตามข้อมูลปี 2558 ขนาดเฉลี่ยขององคชาตในสภาวะแข็งตัวคือ 13.12 เซนติเมตร (5.17 นิ้ว) และมีเส้นรอบวงเฉลี่ย 11.66 เซนติเมตร (4.59 นิ้ว)[1][2] ทั้งนี้ อายุและขนาดขององคชาตในสภาวะไม่แข็งตัวไม่สามารถทำนายขนาดขององคชาตในสภาวะแข็งตัวได้อย่างแม่นยำ มีการดัดแปลงร่างกายที่พบบ่อยหลายประการที่เกี่ยวข้องกับองคชาต เช่น การขริบและการเจาะ

องคชาตเป็นอวัยวะที่มีต้นกำเนิดเหมือนกันกับปุ่มกระสันในเพศหญิง[3]

โครงสร้าง

ภาพตัดขวางแสดงส่วนต่าง ๆ ขององคชาต

สามส่วนหลักขององคชาตประกอบด้วย

  • รากองคชาต (Radix): เป็นส่วนที่ยึดติด ประกอบด้วยกระเปาะองคชาตอยู่ตรงกลางและขาองคชาตอยู่ทั้งสองด้านของกระเปาะ ตั้งอยู่ภายในช่องฝีเย็บที่ตื้น ขาองคชาตยึดติดกับส่วนโค้งของกระดูกหัวหน่าว
  • ตัวองคชาต (Corpus): เป็นส่วนที่ห้อยลงขององคชาต มีสองพื้นผิว ได้แก่ พื้นผิวด้านหลัง (แนวบนด้านหลังในองคชาตขณะแข็งตัว) และพื้นผิวด้านท้องหรือด้านท่อปัสสาวะ (หันลงและหันไปทางด้านหลังในองคชาตขณะอ่อนตัว) พื้นผิวด้านท้องมีลักษณะเด่นคือแนวประสานองคชาต (penile raphe) ที่ฐานของตัวองคชาตถูกรองรับโดยเอ็นแขวนองคชาต ซึ่งยึดติดกับแนวประสานกระดูกหัวหน่าว[4]
  • เนื้อเยื่อบุผิวขององคชาต ประกอบด้วย หนังของลำ หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย และ เยื่อเมือกหนังหุ้มปลายองคชาต (preputial mucosa) ซึ่งอยู่ด้านในของหนังหุ้มปลายองคชาตและปกคลุมหัวองคชาต โดยเนื้อเยื่อบุผิวนี้มิได้ยึดติดกับลำ ทำให้เป็นอิสระในการเคลื่อนไหวไปมา[5]

องคชาตของมนุษย์ประกอบด้วยเนื้อเยื่อพองยุบได้สามแท่ง ได้แก่ คอร์ปุส คาเวอร์โนซุม จำนวนสองแท่งวางตัวขนานกัน (แยกด้วยผนังกั้น) ทางด้านบน และคอร์ปุส สปอนจิโอซุม หนึ่งแท่งวางตัวระหว่างแท่งคอร์ปอรา คาเวอร์โนซาทั้งสองทางด้านท้อง[6] เนื้อเยื่อเหล่านี้ล้อมรอบด้วยชั้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันแข็งที่เรียกว่า ทูนิคา อัลบูจิเนีย คอร์ปุส คาเวอร์โนซุมได้รับการควบคุมจากเส้นประสาทคาเวอร์นัสเล็กและใหญ่ และส่วนประกอบใหญ่ขององคชาตมีหลอดเลือดซึ่งเติมเต็มด้วยเลือดเพื่อช่วยในการแข็งตัว[7] โดยที่ขาองคชาตเป็นส่วนปลายของคอร์ปุส คาเวอร์โนซุมทั้งสอง ส่วนคอร์ปุส สปอนจิโอซุมเป็นเนื้อเยื่อพองยุบได้ที่ห่อหุ้มท่อปัสสาวะ บริเวณปลายส่วนต้นเป็นกระเปาะองคชาตและปลายส่วนปลายเป็นหัวองคชาต[4]

การขยายใหญ่และมีลักษณะเป็นกระเปาะของปลายของคอร์ปุส สปอนจิโอซุม ทำให้เกิดเป็นหัวองคชาต ซึ่งมีโพรงสองประเภทเฉพาะที่รองรับหนังหุ้มปลายองคชาต หนังหุ้มปลายองคชาตเป็นผิวหนังที่หลวมซึ่งในผู้ใหญ่สามารถร่นกลับเพื่อเผยหัวองคชาตได้[8] พื้นที่ด้านใต้ของหัวองคชาตบริเวณที่หนังหุ้มปลายองคชาตยึดเกาะ เรียกว่า เส้นสองสลึง ฐานที่เป็นวงกลมของหัวองคชาต เรียกว่า โคโรนา พื้นผิวด้านในของหนังหุ้มปลายองคชาตและโคโรนามีต่อมไขมันที่หลั่งสารที่เรียกว่าขี้เปียก โครงสร้างขององคชาตยังได้รับการสนับสนุนโดยกล้ามเนื้อพื้นเชิงกรานด้วย

แผนภาพกายวิภาคขององคชาตมนุษย์

ท่อปัสสาวะ ซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของระบบทางเดินปัสสาวะ จะผ่านเข้าไปในคอร์ปุส สปอนจิโอซุม (ท่อปัสสาวะฟองน้ำ) และเปิดออกที่บริเวณส่วนปลายที่เรียกว่ารูปัสสาวะ ซึ่งตั้งอยู่ที่ปลายสุดของหัวองคชาต ทำหน้าที่เป็นทางผ่านสำหรับทั้งปัสสาวะและการหลั่งน้ำอสุจิ

กล้ามเนื้อใต้องคชาตและฝีเย็บ

แนวประสานองคชาตเป็นสันที่สามารถมองเห็นได้ซึ่งแบ่งครึ่งซ้ายและขวาขององคชาต พบได้ทางด้านล่างหรือด้านท้องขององคชาต โดยเริ่มจากรูเปิดของท่อปัสสาวะและต่อเนื่องเป็นแนวประสานฝีเย็บผ่านถุงอัณฑะไปยังฝีเย็บ (พื้นที่ระหว่างถุงอัณฑะและทวารหนัก)[9]

องคชาตมนุษย์แตกต่างจากองคชาตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ส่วนใหญ่ ตรงที่ไม่มี baculum หรือกระดูกอวัยวะเพศ โดยแทนที่ด้วยการกักเลือดให้คั่งอยู่เพื่อให้เกิดภาวะแข็งตัว เอ็นส่วนปลายที่ค้ำยันหัวองคชาตมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อโครงสร้างเส้นใยที่เป็นเหมือนกระดูก (fibroskeleton) ขององคชาต โครงสร้างนี้เรียกว่า "os analog" ซึ่งเป็นคำที่บัญญัติโดยชื่อเกิงหรง ในสารานุกรมการสืบพันธุ์[10] โครงสร้างดังกล่าวเป็นส่วนที่หลงเหลือมาจาก baculum ที่มีวิวัฒนาการเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในวิธีการผสมพันธุ์[11]

องคชาตมนุษย์ไม่สามารถหดกลับเข้าไปในบริเวณขาหนีบได้ และมีขนาดใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยในอาณาจักรสัตว์เมื่อเทียบตามสัดส่วนมวลกาย องคชาตมนุษย์สามารถเปลี่ยนลักษณะจากการอ่อนนุ่มดั่งผ้าฝ้ายไปจนถึงแข็งทื่อดั่งกระดูก ซึ่งเป็นผลมาจากการไหลของเลือดในหลอดเลือดแดงที่มีความแปรผันระหว่าง 2–3 ถึง 60–80 มิลลิลิตรต่อนาที แสดงให้เห็นถึงสภาวะที่เหมาะสมที่สุดในการประยุกต์ใช้กฎของปาสกาลในร่างกายมนุษย์โดยรวม ทำให้องคชาตเป็นโครงสร้างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว[10]

ขนาด

การวัดขนาดอวัยวะเพศชายนั้นมีความแปรปรวน โดยการศึกษาที่อาศัยการวัดด้วยตนเองมักรายงานขนาดเฉลี่ยที่ยาวกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับการวัดโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ในปี 2558 การปริทัศน์อย่างเป็นระบบจากกลุ่มตัวอย่างผู้ชายจำนวน 15,521 คน ซึ่งได้รับการวัดโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ พบว่า ความยาวเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 13.12 เซนติเมตร (5.17 นิ้ว) ขณะที่เส้นรอบวงเฉลี่ยขององคชาตขณะแข็งตัวอยู่ที่ 11.66 เซนติเมตร (4.59 นิ้ว)[1][2]

ท่ามกลางบรรดาไพรเมต องคชาตของมนุษย์มีขนาดใหญ่ที่สุดในด้านเส้นรอบวง แต่มีความยาวที่สามารถเทียบได้กับองคชาตของชิมแปนซีและไพรเมตชนิดอื่น ๆ[12] ขนาดขององคชาตได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม แต่ก็อาจถูกกระทบโดยปัจจัยแวดล้อม เช่น การใช้ยาด้านภาวะเจริญพันธุ์[13] และการสัมผัสกับสารเคมีหรือมลพิษ[14][15][16]

การเปลี่ยนแปลงปกติ

องคชาตรูปแบบต่าง ๆ
  • ผื่นนูนพีพีพี (Pearly penile papules) เป็นการเกิดตุ่มเล็ก ๆ รอบฐานของหัวองคชาต โดยปกติมักเกิดในผู้ชายอายุระหว่าง 20 ถึง 40 ปี ในปี 2542 มีการศึกษาหลายชิ้นที่รายงานอัตราการเกิดของภาวะนี้ที่ช่วงระหว่าง 8 ถึง 48 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชายทั้งหมด[17] ภาวะนี้อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหูด อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้ที่องคชาตไม่มีอันตรายหรือการติดเชื้อและไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา[18]
  • จุดฟอร์ไดร์ซ (Fordyce's spots) เป็นตุ่มขนาดเล็ก นูน มีสีขาวอมเหลือง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร อาจปรากฏบนองคชาต ซึ่งเป็นภาวะปกติและไม่มีการติดเชื้อ
  • ผื่นต่อมไขมัน (Sebaceous prominences) เป็นตุ่มนูนคล้ายกับจุดฟอร์ไดร์ซที่พบได้บนลำองคชาต โดยเกิดขึ้นที่ต่อมไขมันและเป็นภาวะปกติ
  • ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (Phimosis) เป็นภาวะที่ไม่สามารถดึงหนังหุ้มปลายองคชาตได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นปกติและไม่เป็นอันตรายในวัยเด็กและวัยก่อนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เกิดขึ้นประมาณ 8% ในเด็กชายอายุ 10 ปี ตามข้อมูลของสมาคมการแพทย์แห่งสหราชอาณาจักร การรักษาด้วยครีมสเตียรอยด์เฉพาะที่และ/หรือการยืดด้วยมือ มักไม่จำเป็นต้องพิจารณาจนกว่าจะอายุ 19 ปี
  • การโค้งขององคชาต: องคชาตส่วนใหญ่มักไม่ตรงอย่างสมบูรณ์ และสามารถโค้งได้ในทุกทิศทาง (ขึ้น, ลง, ซ้าย, ขวา) ซึ่งบางครั้งอาจโค้งมากแต่โดยทั่วไปไม่ส่งผลกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์ การโค้งที่มุมไม่เกิน 30 องศาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ และในทางการแพทย์การรักษามักไม่จำเป็นเว้นแต่มุมโค้งเกิน 45 องศา ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของมุมโค้งอาจเกิดจากโรคเพโรนีย์ (Peyronie's disease) ได้เช่นกัน

การพัฒนา

การพัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกที่แสดงลักษณะมีต้นกำเนิดเหมือนกันจากที่ไม่แตกต่างกันในทั้งสองเพศ - เพศชายแสดงทางด้านซ้าย

เมื่อทารกในครรภ์ได้รับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ปุ่มอวัยวะสืบพันธุ์จะยืดออก (เป็นองคชาตแรกเริ่ม) และพัฒนาเป็นปลายและลำขององคชาต และส่วนทบอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะจะรวมกันเป็นแนวประสานองคชาต[19][20][21][22] ส่วนท่อปัสสาวะภายในองคชาต (ยกเว้นภายในหัว) พัฒนามาจากโพรงอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ[23]

การเจริญในวัยเริ่มเจริญพันธุ์

เมื่อเข้าสู่วัยเริ่มเจริญพันธุ์ องคชาต ถุงอัณฑะ และอัณฑะจะมีขนาดใหญ่ขึ้นจนถึงขนาดสมบูรณ์ ในระหว่างกระบวนการนี้ ขนหัวหน่าวจะขึ้นบริเวณเหนือและรอบ ๆ องคชาต จากการศึกษาขนาดขององคชาตในผู้ชายอายุ 17 ถึง 19 ปีจำนวนมาก ไม่พบความแตกต่างระหว่างขนาดเฉลี่ยขององคชาตในวัย 17 ปีและ 19 ปี ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่าการเจริญเติบโตขององคชาตจะสมบูรณ์ภายในอายุ 17 ปี หรือน้อยกว่านั้น[24]

หน้าที่ทางสรีรวิทยา

การถ่ายปัสสาวะ

ในเพศชาย การขับปัสสาวะออกจากร่างกายจะเสร็จสิ้นผ่านทางองคชาต โดยท่อปัสสาวะจะระบายน้ำออกจากกระเพาะปัสสาวะ ผ่านต่อมลูกหมากซึ่งเป็นจุดที่เชื่อมต่อกับท่อฉีดอสุจิ และจากนั้นจึงเข้าสู่องคชาต ที่รากขององคชาต (ส่วนต้นของคอร์ปุส สปอนจิโอซุม) มีกล้ามเนื้อหูรูดภายนอก ซึ่งเป็นหูรูดขนาดเล็กของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อลายและในผู้ชายสุขภาพดีสามารถควบคุมได้โดยสมัครใจ การคลายตัวของหูรูดท่อปัสสาวะช่วยให้ปัสสาวะในท่อปัสสาวะส่วนบนไหลเข้าสู่องคชาตอย่างเหมาะสมและทำให้กระเพาะปัสสาวะว่างเปล่า

ทางสรีรวิทยา การถ่ายปัสสาวะเกี่ยวพันกับการประสานงานกันระหว่างระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทอัตโนวัติ และ ระบบประสาทโซมาติก ในทารกหรือผู้สูงอายุบางคนที่มีอาการบาดเจ็บของระบบประสาท การถ่ายปัสสาวะอาจเกิดขึ้นในรูปแบบของรีเฟล็กซ์โดยไม่สมัครใจ ศูนย์สมองที่ควบคุมการปัสสาวะ ได้แก่ ศูนย์ถ่ายปัสสาวะพอนทีน (Pontine micturition center), เนื้อเทาพีเรียคืวดักทัล (Periaqueductal gray) และ เปลือกสมอง[25] ในระหว่างการแข็งตัว ศูนย์เหล่านี้จะยับยั้งการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อหูรูด เพื่อทำหน้าที่แยกทางสรีรวิทยาระหว่างการขับถ่ายและการสืบพันธุ์ขององคชาต และป้องกันไม่ให้ปัสสาวะไหลเข้าไปอยู่ในท่อปัสสาวะระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ[26]

ตำแหน่งถ่ายทิ้ง

ส่วนปลายของท่อปัสสาวะช่วยให้มนุษย์เพศชายสามารถควบคุมทิศทางของการปัสสาวะโดยการถือองคชาต ความยืดหยุ่นนี้ทำให้เพศชายสามารถเลือกท่าทางในการปัสสาวะได้ ในวัฒนธรรมที่มีการสวมใส่เสื้อผ้าเป็นอย่างน้อย องคชาตช่วยให้เพศชายสามารถปัสสาวะในท่ายืนโดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้ามากนัก เป็นที่ทราบกันว่าบางวัฒนธรรมมีธรรมเนียมให้เด็กผู้ชายและผู้ชายปัสสาวะในท่านั่งหรือหมอบ ซึ่งท่าทางดังกล่าวอาจได้รับอิทธิพลจากความเชื่อทางศาสนาหรือวัฒนธรรม[27] งานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับความเหนือกว่าของท่าทางใด ๆ ยังมีข้อมูลแบบวิวิธพันธุ์ที่หลากหลาย การวิเคราะห์อภิมานที่สรุปหลักฐานพบว่าไม่มีท่าทางใดที่เหนือกว่าสำหรับชายหนุ่มและชายที่มีสุขภาพดี[28] อย่างไรก็ตาม สำหรับชายสูงอายุที่มีกลุ่มอาการระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Lower Urinary Tract Symptoms; LUTS) ท่านั่งเมื่อเทียบกับท่ายืนมีความแตกต่างกันดังนี้:

  • ปริมาณที่เหลือภายหลังการถ่ายทิ้ง (Post void residual; PVR, มิลลิลิตร) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • การไหลของปัสสาวะสูงสุด (Qmax, มิลลิลิตรต่อวินาที) เพิ่มขึ้น
  • เวลาการถ่ายทิ้ง (Void time; VT, วินาที) ลดลง

ข้อมูลปัสสาวะพลวัตนี้สัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

การกระตุ้นและอารมณ์ทางเพศ

องคชาตก่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อได้รับการกระตุ้นทางเพศ เช่น จากสิ่งกระตุ้นทางจิตใจ (จินตนาการทางเพศ) กิจกรรมร่วมกับคู่นอน หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การถึงจุดสุดยอด

หัวองคชาตและเส้นสองสลึงใต้หัวหัวองคชาตเป็นจุดที่ไวต่อความรู้สึกทางเพศ[29] หัวองคชาตมีปลายประสาทจำนวนมาก ทำให้เป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึกที่สุด[30]

การแข็งตัว

การพัฒนาของอวัยวะเพศชายในขณะแข็งตัว แสดงให้เห็นถึงหนังหุ้มปลายที่ค่อย ๆ ร่นออกจนปรากฏให้เห็นหัวองคชาต
ดูเพิ่มเติม: ภาพในคอมมอนส์
ภาพมุมมองด้านท้องขององคชาตขณะอ่อนตัว (ภาพซ้าย) และภาพขณะแข็งตัว (ภาพกลาง) และภาพมุมมองด้านบนขององคชาตขณะแข็งตัว (ภาพขวา)

การแข็งตัวขององคชาต คือ การที่องคชาตแข็งทื่อและยกตัวสูงขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นในขณะมีอารมณ์ทางเพศ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่มีอารมณ์ทางเพศได้เช่นกัน การแข็งตัวโดยธรรมชาติอาจเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงวัยรุ่นเนื่องจากการเสียดสีกับเสื้อผ้า การเต็มของกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความตื่นกลัว และการถอดเสื้อผ้าในสถานการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางเพศ นอกจากนี้ การแข็งตัวยังอาจเกิดขึ้นระหว่างนอนหลับและในตอนตื่นนอนได้เช่นกัน (ดูที่ องคชาตแข็งตัวขณะหลับ) กลไกทางสรีรวิทยาหลักที่นำไปสู่การแข็งตัวคือการขยายตัวอัตโนมัติของหลอดเลือดแดงที่นำเลือดไปยังองคชาต ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเข้าไปในเนื้อเยื่อฟองน้ำขององคชาต ได้แก่ คอร์ปุส คาร์เวอโนซุม และคอร์ปุส สปอนจิโอซุม ทำให้องคชาตยาวและแข็งตัวขึ้น หลังจากการขยายหลอดเลือด เนื้อเยื่อฟองน้ำที่เต็มไปด้วยเลือดจะกดทับหลอดเลือดดำที่นำเลือดออกจากองคชาต ทำให้เลือดที่ไหลเข้าสู่องคชาตมีปริมาณมากกว่าเลือดที่ไหลออกจนกระทั่งถึงสภาวะสมดุลที่ปริมาตรการไหลของเลือดที่ไหลเข้ามาในหลอดเลือดแดงและเลือดที่ไหลออกจากหลอดเลือดดำเท่ากัน ขนาดการแข็งตัวที่คงที่เกิดขึ้นจากความสมดุลนี้

การแข็งตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการร่วมเพศ แม้ว่าจะไม่จำเป็นสำหรับกิจกรรมทางเพศอื่นบางประเภท

องศาการแข็งตัว

แม้ว่าองคชาตโดยมากจะแข็งตัวขึ้นไปด้านบน แต่เป็นเรื่องธรรมดาและปกติที่องคชาตจะแข็งตัวในทิศทางใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความตึงของเอ็นแขวนองคชาต

ตารางต่อไปนี้แสดงถึงองศาการแข็งตัวในท่ายืนของเพศชาย จากตัวอย่างเพศชาย 81 คน อายุระหว่าง 21 ถึง 67 ปี โดยในตารางนี้ 0 องศาจะชี้ตรงขึ้นไปยังหน้าท้อง, 90 องศาจะเป็นแนวนอนและชี้ตรงไปด้านหน้า ขณะที่ 180 องศาจะชี้ตรงลงไปที่เท้า มุมชี้ขึ้นเป็นมุมที่พบบ่อยที่สุด[31]

การเกิดของมุมขณะแข็งตัว
มุม (°)
จากแนวตั้งขึ้น
ร้อยละ
ของเพศชาย
0-30 4.9
30-60 29.6
60-85 30.9
85-95 9.9
95-120 19.8
120-180 4.9

การหลั่งน้ำอสุจิ

การหลั่งน้ำอสุจิคือการขับดันน้ำอสุจิออกจากองคชาต ซึ่งมักเกิดขึ้นพร้อมกับความเสียวสุดยอดทางเพศ การหดตัวของกล้ามเนื้อเป็นชุดช่วยส่งน้ำอสุจิ ซึ่งประกอบด้วยเซลล์สืบพันธุ์เพศชายที่เรียกว่า เซลล์อสุจิ หรือ สเปิร์มาโตซูน จากองคชาต การหลั่งน้ำอสุจิมักเกิดจากการกระตุ้นทางเพศ แต่ในบางกรณีอาจเกิดจากโรคต่อมลูกหมาก การหลั่งน้ำอสุจิอาจเกิดขึ้นโดยธรรมชาติในระหว่างการนอนหลับ (เรียกว่าฝันเปียก) ภาวะไม่สามารถหลั่งน้ำอสุจิ (Anejaculation) เป็นภาวะที่บุคคลไม่สามารถหลั่งน้ำอสุจิได้

การผลิตตัวอสุจิเกิดขึ้นในอัณฑะและเก็บไว้ในส่วนที่เรียกว่าเอพิดิไดมิส (epididymides) ในระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ ตัวอสุจิจะถูกขับขึ้นผ่านหลอดนำอสุจิ (vasa deferentia) สองหลอดที่ผ่านข้ามและหลังกระเพาะปัสสาวะ มีการเติมของเหลวจากถุงน้ำอสุจิ (seminal vesicles) และหลอดนำอสุจิจะกลายเป็นท่อฉีดอสุจิ (ejaculatory ducts) ซึ่งเข้าร่วมกับท่อปัสสาวะภายในต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากและต่อมบูลโบยูรีทรัล (bulbourethral glands) จะเติมสารคัดหลั่งเพิ่มเติม (รวมถึงน้ำหล่อลื่น) และน้ำอสุจิจะถูกขับออกทางองคชาต

การหลั่งน้ำอสุจิมีสองขั้นตอน คือ ขั้นตอนการปล่อย (emission) และการหลั่งน้ำอสุจิอย่างสมบูรณ์ (ejaculation proper) ขั้นตอนการปล่อยอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาทซิมพาเทติก ขณะที่การหลั่งน้ำอสุจิอย่างสมบูรณ์อยู่ภายใต้การควบคุมของรีเฟล็กซ์ไขสันหลังที่ระดับเส้นประสาทไขสันหลัง S2-4 ผ่านเส้นประสาทพุเดนดัล (pudendal nerve) มีระยะเวลาที่ไม่ตอบสนอง (refractory period) หลังจากการหลั่งน้ำอสุจิ และการกระตุ้นทางเพศนำไปสู่การหลั่งน้ำอสุจิ[32]

กล้ามเนื้ออิซคีโอคาเวอร์โนซุส (ischiocavernosus) ช่วยคงความแข็งตัวขององคชาตโดยการกดทับหลอดเลือดดำที่นำเลือดออกจากองคชาตให้ช้าลง กล้ามเนื้อบัลโบสปอนจิโอซุส (bulbospongiosus) ช่วยในการแข็งตัวรวมถึงการขับปัสสาวะและน้ำอสุจิ

การดัดแปลงการวิวัฒน์

มีการถกเถียงกันว่าองคชาตของมนุษย์มีการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการหลายประการ ซึ่งวัตถุประสงค์ของการปรับตัวเหล่านี้คือการเพิ่มความสำเร็จในการสืบพันธุ์และลดการแข่งขันของอสุจิ การแข่งขันของอสุจิหมายถึงสถานการณ์ที่อสุจิของผู้ชายสองคนอยู่พร้อมกันในระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงและแข่งกันเพื่อปฏิสนธิกับไข่[33] หากการแข่งขันของอสุจิส่งผลให้อสุจิของเพศชายคู่แข่งปฏิสนธิกับไข่ จะเกิดกรณีภาวะมีชู้ขึ้น นี่คือกระบวนการที่เพศชายลงทุนทรัพยากรของตนไปกับลูกหลานของชายอื่นโดยไม่รู้ตัว และในแง่วิวัฒนาการควรหลีกเลี่ยง[34]

การปรับตัวขององคชาตมนุษย์ที่ได้รับการวิจัยมากที่สุดคือขนาดของอัณฑะและองคชาต การปรับเปลี่ยนการหลั่งน้ำอสุจิ และการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ[35]

ลูกอัณฑะและขนาดองคชาต

การวิวัฒนาการได้ก่อให้เกิดการคัดเลือกทางเพศ โดยเกิดการปรับตัวขึ้นในขนาดองคชาตและขนาดอัณฑะเพื่อให้เกิดความสำเร็จในการสืบพันธุ์สูงสุดและเพื่อให้มีการแข่งขันของอสุจิน้อยที่สุด[36][37]

การแข่งขันของอสุจิได้ส่งผลให้เกิดการวิวัฒนาการในความยาวและขนาดขององคชาตมนุษย์เพื่อการเก็บรักษาและเคลื่อนย้ายอสุจิ[37] เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ องคชาตจะต้องมีความยาวเพียงพอที่จะเข้าถึงตัวอสุจิของคู่แข่งใด ๆ และเติมเต็มช่องคลอดให้ได้มากที่สุด[37] เพื่อให้มั่นใจว่าเพศหญิงจะยังคงมีตัวอสุจิของเพศชายเหลืออยู่ การปรับตัวในด้านความยาวขององคชาตมนุษย์จึงเกิดขึ้นเพื่อให้การหลั่งน้ำอสุจิเกิดขึ้นใกล้กับคอมดลูก[38] ซึ่งจะสำเร็จได้เมื่อเกิดการสอดใส่อย่างสมบูรณ์ และองคชาตจะถูกผลักให้ชนกับคอมดลูก[39] การปรับตัวนี้ได้เกิดขึ้นเพื่อให้การปล่อยและการคงไว้ซึ่งอสุจิไปยังจุดสูงสุดของระบบทางเดินช่องคลอด เป็นผลให้การปรับตัวนี้ยังทำให้ตัวอสุจิไม่เสี่ยงต่อการเคลื่อนย้ายและการสูญเสียน้ำอสุจิ อีกเหตุผลหนึ่งสำหรับการปรับตัวนี้คือ เนื่องจากลักษณะท่าทางของมนุษย์ แรงโน้มถ่วงได้สร้างความเสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำอสุจิ ดังนั้น องคชาตที่ยาวซึ่งสามารถวางน้ำอสุจิในส่วนลึกของระบบทางเดินช่องคลอด จะช่วยลดการสูญเสียน้ำอสุจิได้[40]

อีกทฤษฎีหนึ่งเกี่ยวกับการวิวัฒนาการของขนาดองคชาตคือการเลือกคู่ของเพศหญิงและการเชื่อมโยงกับการตัดสินทางสังคมในสมัยปัจจุบัน[37][41] การศึกษาที่แสดงถึงการเลือกคู่ของเพศหญิงที่มีอิทธิพลต่อขนาดองคชาตได้นำเสนอภาพจำลองของเพศชายที่สามารถหมุนได้ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านความสูง รูปร่าง และขนาดขององคชาตขณะอ่อนตัว ซึ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างของความเป็นชาย[37] การจัดอันดับความน่าดึงดูดใจโดยเพศหญิงสำหรับเพศชายแต่ละคนได้เผยให้เห็นว่าขนาดองคชาตที่ใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับอันดับที่สูงขึ้นในด้านความน่าดึงดูดใจ[37] ความสัมพันธ์ระหว่างขนาดองคชาตและความน่าดึงดูดใจนี้ได้นำไปสู่การเชื่อมโยงที่พบบ่อยระหว่างความเป็นชายและขนาดองคชาตในสื่อที่เป็นที่นิยม[41] สิ่งนี้ได้นำไปสู่อคติทางสังคมที่ว่าขนาดองคชาตที่ใหญ่จะเป็นที่ต้องการและมีสถานะทางสังคมที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นภาพสะท้อนในเรื่องการเชื่อมโยงกันระหว่างความสามารถทางเพศและขนาดองคชาตของเพศชาย และการตัดสินทางสังคมว่าขนาดองคชาตมีความสัมพันธ์กับ 'ความเป็นลูกผู้ชาย'[41]

เช่นเดียวกับองคชาต การแข่งขันของอสุจิได้ทำให้อัณฑะเกิดการวิวัฒนาการด้านขนาดผ่านการคัดเลือกทางเพศ[36] ซึ่งหมายความว่าอัณฑะขนาดใหญ่เป็นตัวอย่างของการปรับตัวจากการคัดเลือกทางเพศ อัณฑะของมนุษย์มีขนาดปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่น ๆ เช่น กอริลลาและชิมแปนซี โดยอยู่ในระดับกลาง[42] อัณฑะที่มีขนาดใหญ่นั้นมีประโยชน์ในการแข่งขันของอสุจิ เนื่องจากความสามารถในการผลิตการหลั่งอสุจิที่มากกว่า[43] การวิจัยแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างจำนวนของอสุจิที่ถูกหลั่งและขนาดของอัณฑะ[43] อัณฑะที่มีขนาดใหญ่ยังแสดงถึงคุณภาพของอสุจิที่สูงขึ้น รวมถึงจำนวนของอสุจิที่เคลื่อนไหวและความสามารถในการเคลื่อนไหวของอสุจิที่สูงขึ้น[36]

การวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าการปรับตัวของขนาดอัณฑะนั้นขึ้นอยู่กับระบบการผสมพันธุ์ในแต่ละสปีชีส์[44] ระบบการผสมพันธุ์แบบตัวผู้ตัวเดียวหรือสังคมการมีคู่สมรสคนเดียวมีแนวโน้มที่จะมีขนาดอัณฑะเล็กกว่าระบบการผสมพันธุ์แบบหลายตัวผู้หรือการมีคู่นอกสมรส มนุษย์นั้นอยู่ในสังคมการมีคู่สมรสคนเดียวเหมือนกับกอริลลา ดังนั้น ขนาดของอัณฑะจึงเล็กกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับวานรที่มีระบบการผสมพันธุ์แบบหลายตัวผู้ เช่น ชิมแปนซี สาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่างในขนาดอัณฑะนั้นเพราะในการประสบความสำเร็จในการสืบพันธุ์ในระบบการผสมพันธุ์แบบหลายตัวผู้ ตัวผู้จะต้องมีความสามารถในการสร้างการหลั่งอสุจิหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง[36] อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่กรณีของสังคมการมีคู่สมรสคนเดียว ซึ่งการลดลงในการหลั่งเพื่อผสมพันธุ์นั้นไม่มีผลกระทบต่อความสำเร็จในการสืบพันธุ์[36] สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในมนุษย์ โดยที่จำนวนการหลั่งของอสุจิจะลดลงหากมีการหลั่งมากกว่า 3 ถึง 5 ครั้งต่อสัปดาห์[45]

การปรับเปลี่ยนในการหลั่งน้ำอสุจิ

หนึ่งในวิธีหลักที่น้ำอสุจิของเพศชายวิวัฒนาการเพื่อเอาชนะการแข่งขันของอสุจิคือผ่านความเร็วที่อสุจิเคลื่อนที่ การหลั่งน้ำอสุจิสามารถเดินทางได้ไกลถึง 60 เซนติเมตร ซึ่งเมื่อรวมกับการวางตำแหน่งในตำแหน่งสูงสุดของทางช่องคลอดแล้ว จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ไข่ได้รับการปฏิสนธิโดยอสุจิของเพศชายนั้นแทนที่จะเป็นของเพศชายอื่น จึงเพิ่มความมั่นใจสูงสุดในการเป็นบิดา (paternal certainty)[40]

นอกจากนี้ เพศชายยังสามารถและทำการปรับการหลั่งน้ำอสุจิของตนเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันของอสุจิ และตามความได้เปรียบอย่างสูงสุดในการจับคู่กับเพศหญิงคนหนึ่ง[46] การวิจัยมุ่งเน้นไปที่วิธีพื้นฐานสองประการที่เพศชายใช้ในการประสบความสำเร็จนี้ ได้แก่ การปรับปริมาณของการหลั่งน้ำอสุจิและการปรับคุณภาพของการหลั่งน้ำอสุจิ

ปริมาณ

จำนวนของอสุจิในแต่ละการหลั่งน้ำอสุจิจะแตกต่างกันไป[47] ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ถูกสมมุติฐานว่าเป็นความพยายามของเพศชายในการลดการแข่งขันของอสุจิ เพศชายจะปรับจำนวนอสุจิที่ส่งเข้าไปในเพศหญิงตามระดับที่ตนรับรู้ว่ามีการแข่งขันของอสุจิ โดยจะหลั่งอสุจิจำนวนมากขึ้นหากสงสัยว่ามีระดับการแข่งขันสูงจากเพศชายอื่น[35]

การวิจัยสนับสนุนการปรับเปลี่ยนในการหลั่งน้ำอสุจิแสดงว่า เพศชายมักเพิ่มจำนวนอสุจิที่หลั่งเข้าไปในคู่ของตนหลังจากแยกจากกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง[48] เนื่องจากช่วงเวลาที่คู่สามารถใช้ร่วมกันได้น้อยลง จะมีโอกาสที่เพศหญิงจะถูกผสมพันธุ์โดยเพศชายอื่นเพิ่มขึ้น[49] การเพิ่มจำนวนอสุจิที่หลั่งเข้าไปในเพศหญิงจะเพิ่มความมั่นใจในการเป็นบิดาเมื่ออสุจิของผู้อื่นอาจถูกเก็บไว้ในเพศหญิงจากการมีคู้ซ้อน (extra-pair copulations) ในระหว่างที่แยกกัน การเพิ่มจำนวนอสุจิเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันของอสุจิไม่พบในกรณีการหลั่งน้ำอสุจิจากการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง[35]

คุณภาพ

เพศชายยังปรับการหลั่งน้ำอสุจิในแง่ของคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันของอสุจิด้วย งานวิจัยแสดงว่า การดูภาพทางเพศที่มีเพศหญิงและเพศชายสองคน (ซึ่งมีการแข่งขันสูง) สามารถทำให้เพศชายผลิตอสุจิที่เคลื่อนไหวได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการดูภาพทางเพศที่มีเพศหญิงสามคน (ซึ่งมีการแข่งขันต่ำ)[50] เช่นเดียวกับการเพิ่มจำนวน การเพิ่มคุณภาพของอสุจิที่หลั่งเข้าไปในเพศหญิงจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเป็นบิดาเมื่อมีการแข่งขันของอสุจิสูง

คุณภาพลักษณะปรากฏของเพศหญิง

คุณภาพลักษณะปรากฏของเพศหญิงเป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุนในการหลั่งน้ำอสุจิของเพศชาย[51] งานวิจัยแสดงว่า เพศชายจะผลิตการหลั่งน้ำอสุจิที่มีจำนวนมากขึ้นและอสุจิที่เคลื่อนไหวได้ดีขึ้นเมื่อผสมพันธุ์กับเพศหญิงที่มีคุณภาพสูงกว่า[46] ทั้งนี้เพื่อลดการแข่งขันของอสุจิลง เนื่องจากเพศหญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่าจะถูกเข้าหาและเกิดการผสมพันธุ์โดยเพศชายมากกว่าเพศหญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดน้อยกว่า[52] ดังนั้น การเพิ่มปริมาณและคุณภาพของการหลั่งน้ำอสุจิจึงเป็นประโยชน์เมื่อจับคู่กับเพศหญิงที่มีเสน่ห์มาก เนื่องจากทำให้มีแนวโน้มในความสำเร็จในการสืบพันธุ์สูงสุดเช่นกัน การประเมินลักษณะปรากฏของเพศหญิงช่วยให้เพศชายตัดสินใจว่าจะลงทุน (หรือลงทุนมากขึ้น) กับเพศหญิงคนใด ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนในการหลั่งน้ำอสุจิในภายหลัง

การเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ

รูปร่างขององคชาตมนุษย์เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากวิวัฒนาการที่เกิดจากการแข่งขันของอสุจิ[53] การเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิเป็นการปรับตัวของรูปร่างองคชาตที่มีจุดประสงค์เพื่อดึงน้ำอสุจิของชายอื่นออกจากคอมดลูก ซึ่งหมายความว่า หากมีตัวอสุจิของเพศชายคู่แข่งอยู่ในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง องคชาตของมนุษย์จะสามารถแทนที่อสุจิของคู่แข่งด้วยอสุจิของตนเองได้[54]

การเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิมีประโยชน์หลักสองประการ ได้แก่ ประการแรก การเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิของคู่แข่งทำให้ความเสี่ยงที่อสุจิของคู่แข่งจะปฏิสนธิกับไข่ลดลง ซึ่งช่วยลดโอกาสในการแข่งขันของอสุจิ[55] ประการที่สอง เพศชายจะแทนที่อสุจิของคู่แข่งด้วยอสุจิของตนเอง ซึ่งเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิกับไข่และสำเร็จในการสืบพันธุ์ อย่างไรก็ตาม เพศชายต้องมั่นใจว่าจะไม่เคลื่อนย้ายน้ำอสุจิของตนเอง ซึ่งเชื่อกันว่าการที่องคชาตสูญเสียการแข็งตัวอย่างรวดเร็วหลังการหลั่ง การไวต่อสัมผัสหลังการหลั่ง และการดันเข้าไปอย่างตื้นและช้าหลังการหลั่งจะช่วยป้องกันการเกิดเหตุการณ์นี้[54]

แนวโคโรนาเป็นส่วนที่เชื่อว่ามีวิวัฒนาการขึ้นเพื่อช่วยในการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ การวิจัยได้ศึกษาปริมาณน้ำอสุจิที่ถูกแทนที่โดยอวัยวะเพศจำลองที่มีรูปร่างต่างกัน[55] ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เมื่อรวมกับการดันเข้าไป แนวโคโรนาขององคชาตสามารถขจัดน้ำอสุจิของคู่แข่งออกจากระบบสืบพันธุ์เพศหญิงได้ โดยการดันให้น้ำอสุจิอยู่ใต้เส้นสองสลึงของแนวโคโรนา ทำให้เกิดการสะสมขึ้นที่ด้านหลังแนวโคโรนา เมื่อใช้อนุภาคจำลองที่ไม่มีแนวโคโรนา[55] พบว่าน้ำอสุจิจำลองที่ถูกแทนที่มีน้อยกว่าครึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอวัยวะเพศที่มีแนวโคโรนา[55]

อย่างไรก็ตาม การมีแนวโคโรนาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องมีการดันเข้าไปอย่างเหมาะสมด้วย ยิ่งมีการดันเข้าไปลึกมากเท่าไร การเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิก็จะมีมากขึ้น และไม่มีการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิเกิดขึ้นในการดันเข้าไปอย่างตื้น[55] บางส่วนจึงเรียกการดันเข้าไปนี้ว่าเป็นพฤติกรรมการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ[56]

พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ ได้แก่ การดันเข้าไป (จำนวนครั้งและความลึกของการดัน) และระยะเวลาของการมีเพศสัมพันธ์[56] ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความแตกต่างกันตามการรับรู้ถึงความเสี่ยงของการนอกใจของคู่ครอง ทั้งเพศชายและเพศหญิงรายงานว่ามีพฤติกรรมการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิมากขึ้นหลังจากการกล่าวหาว่านอกใจ โดยเฉพาะหลังการกล่าวหาว่านอกใจ ทั้งเพศชายและเพศหญิงรายงานว่าการมีเพศสัมพันธ์มีการดันเข้าไปลึกและเร็วขึ้น[55]

มีการแนะนำว่าการขริบหนังหุ้มปลายองคชาตอาจส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิ โดยการขริบอาจทำให้แนวโคโรนาเด่นชัดขึ้น[40] ซึ่งอาจปรับปรุงการเคลื่อนย้ายน้ำอสุจิได้ ข้อสังเกตนี้ได้รับการสนับสนุนจากรายงานของเพศหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชายที่ขริบแล้ว โดยพบว่าเพศหญิงรายงานว่ามีการลดลงของน้ำหล่อลื่นช่องคลอดและเพศชายที่ขริบแล้วมีการดันเข้าไปลึกมากกว่า[57] ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนะว่าแนวโคโรนาที่เด่นชัดรวมกับการดันเข้าไปลึกอาจทำให้สารคัดหลั่งในช่องคลอดของเพศหญิงเกิดการเคลื่อนย้ายในลักษณะเดียวกับอสุจิของคู่แข่ง[40]

ความสำคัญทางคลินิก

ความผิดปกติ

  • หนังหุ้มปลายองคชาตบวม (Paraphimosis) คือ ความไม่สามารถดึงหนังหุ้มปลายกลับมาคลุมส่วนหัวขององคชาตได้ ซึ่งอาจเกิดจากการสะสมของของเหลวภายในหนังหุ้มปลาย อันอาจเป็นผลจากการกระทำทางการแพทย์หรือการเสียดสีจากกิจกรรมทางเพศที่รุนแรง
  • องคชาตโค้งงอ (Peyronie's disease) คือ การเกิดแผลเป็นที่ผิดปกติในเนื้อเยื่ออ่อนขององคชาต ซึ่งส่งผลให้เกิดความโค้งงอ หากเป็นกรณีรุนแรงอาจต้องการการผ่าตัดเพื่อแก้ไข
  • ภาวะการเกิดลิ่มเลือด (Thrombosis) อาจเกิดจากกิจกรรมทางเพศที่บ่อยครั้งและยืดเยื้อ โดยเฉพาะการเฟอเลชิโอ มักจะไม่อันตรายและจะหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์
  • การติดเชื้อไวรัสเริม (Herpes) สามารถเกิดขึ้นหลังจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดแผลพุพองจากเริม
  • การกดทับเส้นประสาทหว่างขา คือ ภาวะที่มีอาการปวดเมื่อยเมื่อนั่ง และสูญเสียความรู้สึกที่องคชาตและการถึงจุดสุดยอดทางเพศ บางครั้งอาจสูญเสียความรู้สึกทั้งหมด เส้นประสาทนี้สามารถได้รับบาดเจ็บจากการนั่งบนเบาะจักรยานที่แคบและแข็ง หรือจากอุบัติเหตุ
  • องคชาตหัก (Penile fracture) เกิดจากการโค้งงอขององคชาตที่แข็งตัวมากเกินไป โดยมักมีเสียงคล้ายการหักและความเจ็บปวด การได้รับการรักษาโดยด่วนจากแพทย์ช่วยลดความเสี่ยงของความโค้งงอถาวรได้
  • ปลายประสาทอักเสบจากเบาหวาน อาจทำให้เกิดอาการเหน็บชาในผิวองคชาตและอาจทำให้ความรู้สึกลดลงหรือหายไปทั้งหมด ซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บสำหรับคู่สมรส และอาจทำให้ไม่สามารถรับความสุขจากการกระตุ้นทางเพศได้ การควบคุมเบาหวานอย่างดีเป็นวิธีการรักษาหลัก
  • ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ คือ ความไม่สามารถพัฒนาและรักษาการแข็งตัวขององคชาตให้เพียงพอสำหรับความพึงพอใจทางเพศ สาเหตุหลักได้แก่ เบาหวานและการแก่ชรา วิธีการรักษามีหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ การใช้ยาสำหรับการขยายหลอดเลือด เช่น ซิลเดนาฟิล (Viagra)
  • ภาวะองคชาตแข็งค้าง คือ ภาวะที่องคชาตแข็งตัวติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่กลับสู่ภาวะอ่อนตัว ซึ่งอาจเป็นอันตรายและต้องการการรักษาฉุกเฉินหากเกินสี่ชั่วโมง ภาวะนี้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางประสาทและหลอดเลือดที่ซับซ้อน อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การขาดเลือด การเกิดลิ่มเลือด และภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ กรณีร้ายแรงอาจนำไปสู่การเน่าของเนื้อเยื่อซึ่งอาจจำเป็นต้องตัดอวัยวะ[58]
  • ลิมฟาจิโอสคลีโรซิส (Lymphangiosclerosis) คือ เป็นการแข็งของหลอดน้ำเหลือง แม้ว่าจะสามารถให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการแข็งขึ้นจนเกือบจะเป็นการจับของหินปูน หรือเป็นเส้นใยแบบหลอดเลือดดำ อย่างไรก็ตาม มันมีแนวโน้มที่จะไม่มีสีน้ำเงินร่วมกับหลอดเลือดดำ โดยอาจรู้สึกได้เป็นก้อนแข็งหรือเป็น "หลอดเลือดดำ" แม้ในขณะที่องคชาตอ่อนตัว และอาการลักษณะดังกล่าวจะโดดเด่นมากขึ้นในขณะที่องคชาตแข็งตัว ถือเป็นเงื่อนไขทางกายภาพที่ไม่ร้าย (benign) ถือเป็นเรื่องทั่วไป และสามารถทำกิจกรรมทางเพศได้ตามปกติ และมีแนวโน้มที่จะหายไปหากได้รับการพักผ่อนและการดูแลอย่างอ่อนโยน เช่น การใช้สารหล่อลื่น
  • มะเร็งองคชาต (Carcinoma of the penis) พบได้น้อยมาก โดยมีอัตราการเกิดประมาณ 1 คนต่อ 100,000 คนในประเทศพัฒนาแล้ว ข้อมูลบางแหล่งระบุว่าการขลิบอาจช่วยป้องกันมะเร็งองคชาต แต่แนวคิดนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในวงการแพทย์[59]

ความผิดปกติทางการพัฒนา

รูเปิดท่อปัสสาวะต่ากว่าปกติ

การถูกกล่าวหาและความผิดปกติที่สังเกตได้ทางจิตวิทยา

  • โรคจู๋ (Penis panic) ในภาษามาเลเซีย/ภาษาอินโดนีเซียเรียกว่า โคโร (koro) เป็นภาพลวงตาที่เกิดเห็นองคชาตหดลงและหดหลับเข้าไปในร่างกาย ความผิดปกตินี้เหมือนจะมีเงื่อนไขทางวัฒนธรรมและมักจำกัดอยู่ภายในประเทศกานา ประเทศซูดาน ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศในแอฟริกาตะวันตก
  • ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 ในเมืองกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในแอฟริกาตะวันตก ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวน 14 คน (จากการวิ่งราวองคชาต) และหมอผีซึ่งถูกกล่าวหาว่าใช้มนต์ดำหรือเวทมนตร์คาถาในการขโมย (ทำให้หายไป) หรือทำให้องคชาตของผู้ชายหดหายไปเพื่อรีดไถเงิน ท่ามกลางความตื่นตระหนกของหมู่ชน การจับกุมนั้นเกิดขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดด้วย ดังกรณีในประเทศกานา เมื่อสิบปีก่อน โดยที่มีองคชาตของชายจำนวน 12 คนถูกวิ่งราวไป ซึ่งผู้วิ่งราวองคชาตนั้นถูกรุมประชาทัณฑ์จนถึงแก่ความตายโดยกลุ่มผู้ชุมนุม[61]
  • ความอิจฉาองคชาต (Penis envy) เป็นแย้งความเชื่อของซีคมุนท์ ฟร็อยท์ ซึ่งเชื่อว่าผู้หญิงมีความอิจฉาต่อการมีองคชาตของผู้ชาย

สังคมและวัฒนธรรม

เทศกาลแห่ลึงค์ในประเทศญี่ปุ่น
ชายชาวปาปัวสวมปลอกองคชาตตามธรรมเนียม

การดัดแปลง

องคชาตบางครั้งอาจถูกเจาะหรือตกแต่งด้วยศิลปะบนเรือนร่าง นอกเหนือจากการขริบแล้ว การดัดแปลงองคชาตส่วนใหญ่จะเป็นการเลือกทำด้วยความสมัครใจและมักมีจุดประสงค์เพื่อความสวยงามหรือเพิ่มความไวในการรับรู้ การเจาะอวัยวะเพศชายรวมถึงแบบเจ้าชายอัลเบิร์ต อะพัดราวยา อัมปาลลัง ดีโด การเจาะเส้นสองสลึง นอกจากนี้ การฟื้นฟูหนังหุ้มปลายองคชาตหรือการยืดหนังหุ้มปลายองคชาตก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการดัดแปลงร่างกาย รวมถึงการฝังวัสดุใต้ลำของอวัยวะเพศชาย การสักอวัยวะเพศชายก็เป็นการดัดแปลงอีกประเภทหนึ่งเช่นกัน

ผู้หญิงข้ามเพศที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศจะมีการดัดแปลงองคชาตเป็นช่องคลอดหรือคลิตอริสผ่านการศัลยกรรมตกแต่งช่องคลอดหรือการสร้างคลิตอริสตามลำดับ ส่วนผู้ชายข้ามเพศที่ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศจะได้รับการศัลยกรรมตกแต่งองคชาตหรือการสร้างองคชาตขนาดเล็ก

การปฏิบัติอื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงองคชาตก็มีอยู่ แม้ว่าจะพบได้ยากในสังคมตะวันตกโดยไม่มีอาการป่วยที่วินิจฉัยได้ นอกเหนือจากการตัดองคชาตแล้ว การผ่าใต้องคชาต ซึ่งเป็นการแยกท่อปัสสาวะออกตามแนวด้านล่างของอวัยวะเพศชาย นับเป็นการดัดแปลงที่รุนแรงที่สุด การผ่าใต้องคชาตมีต้นกำเนิดมาจากชนพื้นเมืองออสเตรเลีย แม้ว่าจะพบในบางคนในสหรัฐอเมริกาและยุโรปในปัจจุบัน

การขริบ

มุมมองด้านบนขององคชาตที่ขริบแล้ว: (1) ลำ, (2) แผลเป็นจากการขริบหนังหุ้มปลายองคชาต, (3) โคโรนา, (4) หัว, (5) ช่องปัสสาวะ

การขริบหนังหุ้มปลายเป็นการดัดแปลงร่างกายที่เกี่ยวข้องกับองคชาตที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเป็นการตัดหนังหุ้มปลายออกบางส่วนหรือทั้งหมด การขริบมักจะกระทำโดยสมัครใจด้วยเหตุผลทางการป้องกัน สุขอนามัย วัฒนธรรม หรือศาสนา[62] สำหรับการขริบในทารกจะมีอุปกรณ์สมัยใหม่เช่น คีมหนีบกอมโก พลาสติเบลล์ และคีมหนีบมอเกน ใช้ในกระบวนการนี้[63] ในบรรดาองค์กรทางการแพทย์ที่สำคัญทั่วโลก มีความเห็นพ้องกันว่าการขลิบช่วยลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง[64][65] และมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของการขลิบในประเทศที่พัฒนาแล้ว[62] องค์การอนามัยโลก (WHO; 2007), โครงการร่วมแห่งสหประชาชาติว่าด้วยเอชไอวี/เอดส์ (UNAIDS; 2007), และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC; 2008) ระบุว่ามีหลักฐานชี้ให้เห็นว่าการขลิบช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ชายระหว่างการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง[66][67] การขลิบมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมหลายแห่งทั่วโลก เมื่อดำเนินการด้วยเหตุผลทางศาสนา การขลิบมักพบในกลุ่มชาวยิวและชาวมุสลิม โดยในหมู่พวกเขาเป็นที่แพร่หลายเกือบทั่วทั้งหมด[68]

การซ่อมแซมที่เป็นไปได้

มีความพยายามโดยนักวิทยาศาสตร์ในการซ่อมโครงสร้างบางส่วนหรือทั้งหมดขององคชาตมนุษย์อย่างต่อเนื่อง[69][70][71][72] ผู้ป่วยที่สามารถได้รับประโยชน์สูงสุดจากงานวิจัยในสาขานี้ ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องแต่กำเนิด ผู้ป่วยมะเร็ง และผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจนทำให้ต้องตัดส่วนหนึ่งส่วนใดของอวัยวะเพศออกไป[70][73][74] องค์กรบางแห่งที่ทำการวิจัยหรือดำเนินการซ่อมแซม ได้แก่ สถาบันเวคฟอเรสต์เพื่อเวชศาสตร์ฟื้นฟู และกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา[73][74] นอกจากนี้ยังมีบริษัทฟอเรเจน ซึ่งเป็นบริษัทชีวเวชภัณฑ์สัญชาติอิตาลีที่พยายามซ่อมแซมแถบย่น เส้นสองสลึง และเยื่อเมือกหนังหุ้มปลายองคชาต[70][75]

การผ่าตัดด้วยการปลูกถ่ายองคชาตจากผู้บริจาค (Allotransplant) ที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ในโรงพยาบาลทหารในกว่างโจว ประเทศจีน[76] ผู้ป่วยเป็นชายอายุ 44 ปีที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจนทำให้องคชาตถูกตัดขาด การปัสสาวะของเขายากลำบากเนื่องจากท่อปัสสาวะบางส่วนถูกปิดกั้น จึงมีการเลือกองคชาตจากชายอายุ 23 ปีที่เสียชีวิตจากภาวะสมองตาย แม้จะมีการฝ่อของหลอดเลือดและเส้นประสาท แต่หลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำ เส้นประสาท และส่วนคอร์ปุส สปอนจิโอซุมสามารถเข้ากันได้ อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดถูกย้อนกลับในวันที่ 19 กันยายน (หลังจากสองสัปดาห์) เนื่องจากปัญหาทางจิตใจอย่างรุนแรง (การปฏิเสธ) จากผู้รับและภรรยา[77]

ในปี พ.ศ. 2552 นักวิจัยเฉิน เอเบอร์ลี ยู และอาตาลา ได้ทำการผลิตองคชาตวิศวกรรมชีวภาพและปลูกถ่ายลงในกระต่าย[78] กระต่ายเหล่านี้สามารถแข็งตัวและผสมพันธุ์ได้ โดยมีกระต่าย 10 จาก 12 ตัวที่สามารถหลั่งน้ำอสุจิได้ ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าในอนาคตอาจสามารถผลิตองคชาตเทียมเพื่อใช้ในการผ่าตัดปลูกถ่ายหรือศัลยกรรมตกแต่งองคชาตได้ ในปี พ.ศ. 2558 การผ่าตัดปลูกถ่ายองคชาตที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกเกิดขึ้นที่เคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ ในการผ่าตัดที่ใช้เวลาเก้าชั่วโมงโดยศัลยแพทย์จากมหาวิทยาลัยสเตลเลนบอชและโรงพยาบาลไทเกอร์เบิร์ก ผู้ป่วยชายวัย 21 ปีที่เคยมีกิจกรรมทางเพศได้ตามปกติ แต่สูญเสียองคชาตจากการขริบที่ผิดพลาดเมื่ออายุ 18 ปี[79]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 Berezow, Alex B. (March 2, 2015). "Is Your Penis Normal? There's a Chart for That". RealClearScience. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 24, 2020. สืบค้นเมื่อ July 7, 2018.
  2. 2.0 2.1 Veale, D.; Miles, S.; Bramley, S.; Muir, G.; Hodsoll, J. (2015). "Am I normal? A systematic review and construction of nomograms for flaccid and erect penis length and circumference in up to 15 521 men". BJU International. 115 (6): 978–986. doi:10.1111/bju.13010. PMID 25487360. S2CID 36836535.
  3. Tortora, Gerard J; Anagnostakos, Nicholas P (1987). Principles of anatomy and physiology (5th ed.). New York: Harper & Row. pp. 727–728. ISBN 978-0060466695.
  4. 4.0 4.1 Richard L. Drake; A. Wayne Voglz; Adam W. M. Mitchell (8 March 2019). Gray's anatomy for students fourth edition. Elsevier. p. 461,501,502. ISBN 978-0323393041.
  5. "Video of gliding action".
  6. Bannister LH, Dyson M. Reproductive system. In: Williams PL, ed. Gray's Anatomy. London: Churchill Livingstone; 1995:1857. OCLC 45217979.
  7. "corpus cavernosum". U.S.gov. Feb 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 February 2022. สืบค้นเมื่อ 13 Feb 2022.
  8. Hsu GL, Brock G, von Heyden B, Nunes L, Lue TF, Tanagho EA (May 1994). "The distribution of elastic fibrous elements within the human penis". British Journal of Urology. 73 (5): 566–571. doi:10.1111/j.1464-410X.1994.tb07645.x. PMID 8012781.
  9. Snell RS. The perineum. In: Snell RS, ed. Clinical Anatomy. Philadelphia, Pa: Lippincott Williams & Wilkins; 2004:430–431. Baltimore, MD Lippincott Williams & Wilkins. 2006. ISBN 9780781791649.
  10. 10.0 10.1 "M. K. Skinner (Ed.), Encyclopedia of Reproduction. vol. 1, pp. 367–375. Academic Press: Elsevier". Academic Press.
  11. "Why Humans Lost Their Penis Bone". Science. 13 December 2016.
  12. Dixson, A. F. (2009). Sexual selection and the origins of human mating systems. Oxford University Press. pp. 61–65. ISBN 9780191569739.
  13. Center of Disease Control. "DES Update: Consumers". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-17. สืบค้นเมื่อ 2013-11-07.
  14. Swan SH, Main KM, Liu F, และคณะ (August 2005). "Decrease in anogenital distance among male infants with prenatal phthalate exposure". Environmental Health Perspectives. 113 (8): 1056–61. doi:10.1289/ehp.8100. PMC 1280349. PMID 16079079.
  15. Montague, Peter. "PCBs Diminish Penis Size". Rachel's Hazardous Waste News. 372. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-03.
  16. "Hormone Hell". DISCOVER. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-13. สืบค้นเมื่อ 2008-04-05.
  17. Brown, Clarence William (February 13, 2014). "Pearly Penile Papules: Epidemiology". Medscape. สืบค้นเมื่อ 2014-03-08.
  18. "Spots on the penis". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-20. สืบค้นเมื่อ 2016-09-18.
  19. Keith L. Moore, T. V. N. Persaud, Mark G. Torchia, The Developing Human: Clinically Oriented Embryology 10th Ed. Elsevier Health Sciences, 2015 ISBN 9780323313483, pp 267-69
  20. Jones, Richard E.; Lopez, Kristin H. (28 September 2013). Human Reproductive Biology. Academic Press. p. 352. ISBN 978-0-12-382185-0.
  21. Hodges, Frederick Mansfield S.; Denniston, George C.; Milos, Marilyn Fayre (2007). Male and Female Circumcision: Medical, Legal, and Ethical Considerations in Pediatric Practice. Springer US. p. 10. ISBN 978-0-58539-937-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 24, 2023. สืบค้นเมื่อ November 24, 2023.
  22. Martin, Richard J.; Fanaroff, Avory A.; Walsh, Michele C. (2014). Fanaroff and Martin's Neonatal-Perinatal Medicine E-Book: Diseases of the Fetus and Infant. Elsevier Health Sciences. p. 1522. ISBN 978-0-32329-537-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 24, 2023. สืบค้นเมื่อ November 24, 2023.
  23. Kulkarni, Neeta V (2015). Clinical Anatomy: A Problem Solving Approach. Jaypee Brothers Medical Publishers Pvt. Limited. p. 653. ISBN 978-9-35152-966-8.
  24. Ponchietti R, Mondaini N, Bonafè M, Di Loro F, Biscioni S, Masieri L (February 2001). "Penile length and circumference: a study on 3,300 young Italian males". European Urology. 39 (2): 183–6. doi:10.1159/000052434. PMID 11223678.
  25. Sie JA, Blok BF, de Weerd H, Holstege G (2001). "Ultrastructural evidence for direct projections from the pontine micturition center to glycine-immunoreactive neurons in the sacral dorsal gray commissure in the cat". J. Comp. Neurol. 429 (4): 631–7. doi:10.1002/1096-9861(20010122)429:4<631::AID-CNE9>3.0.CO;2-M. PMID 11135240.
  26. Schirren, C.; Rehacek, M.; Cooman, S. de; Widmann, H.-U. (24 April 2009). "Die retrograde Ejakulation". Andrologia. 5 (1): 7–14. doi:10.1111/j.1439-0272.1973.tb00878.x.
  27. Y. de Jong; R.M. ten Brinck; J.H.F.M. Pinckaers; A.A.B. Lycklama à Nijeholt. "Influence of voiding posture on urodynamic parameters in men: a literature review" (PDF). Nederlands Tijdschrift voor urologie). สืบค้นเมื่อ 2014-07-02.
  28. de Jong, Y; Pinckaers, JH; Ten Brinck, RM; Lycklama À Nijeholt, AA; Dekkers, OM (2014). "Urinating Standing versus Sitting: Position Is of Influence in Men with Prostate Enlargement. A Systematic Review and Meta-Analysis". PLOS ONE. 9 (7): e101320. doi:10.1371/journal.pone.0101320. PMC 4106761. PMID 25051345.
  29. Crooks, Robert; Baur, Karla (2008). Our Sexuality. Thomson/Wadsworth. p. 90. ISBN 978-0-49510-326-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-02-24. สืบค้นเมื่อ 2024-02-24.
  30. Olausson, Håkan; Wessberg, Johan; Morrison, India (2016). Affective Touch and the Neurophysiology of CT Afferents. Springer Science+Business Media. p. 305. ISBN 978-1-4939-6418-5. ...the most pleasurable of all body parts when stimulated sexually: the glans (or tip) of the penis.
  31. Sparling J (1997). "Penile erections: shape, angle, and length". Journal of Sex & Marital Therapy. 23 (3): 195–207. doi:10.1080/00926239708403924. PMID 9292834.
  32. Carlson, Neil. (2013). Physiology of Behavior. Upper Saddle River, New Jersey: Pearson Education, Inc.
  33. Bleske-Rechek, A. L.; Euler, H. A.; LeBlanc, G. J.; Shackelford, T. K.; Weekes-Shackelford, V. A. (2002). "Psychological adaptation to human sperm competition" (PDF). Evolution and Human Behavior.
  34. Ehrke, A. D.; Pham, M. N.; Shackelford, T. K.; Welling, L. L. M. (2013). "Oral sex, semen displacement, and sexual arousal: testing the ejaculate adjustment hypothesis". Evolutionary Psychology.
  35. 35.0 35.1 35.2 Shackelford, Todd K.; Goetz, Aaron T. (2007-02-01). "Adaptation to Sperm Competition in Humans". Current Directions in Psychological Science. 16 (1): 47–50. doi:10.1111/j.1467-8721.2007.00473.x. ISSN 0963-7214.
  36. 36.0 36.1 36.2 36.3 36.4 Moller, A. P. (1988). "Ejaculate quality, testes size and sperm competition in primates". Journal of Human Evolution. 17: 479–488. doi:10.1016/0047-2484(88)90037-1.
  37. 37.0 37.1 37.2 37.3 37.4 37.5 Mautz, B. S.; Wong, B. B. M.; Peters, R. A.; Jennions, M. D. (April 23, 2013). "Penis size interacts with body shape and height to influence male attractiveness". Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America. 110 (17): 6925–30. Bibcode:2013PNAS..110.6925M. doi:10.1073/pnas.1219361110. JSTOR 42590540. PMC 3637716. PMID 23569234.
  38. Masters, W. H.; Johnson, V. E. (1966). Human Sexual Response. Boston: Little, Brown and Company.
  39. Schultz, W. W.; van Andel, P.; Sabelis, I.; Mooyaart, E. (December 18, 1999). "Magnetic resonance imaging of male and female genitals during coitus and female sexual arousal" (PDF). BMJ. 319: 1596. doi:10.1136/bmj.319.7225.1596.
  40. 40.0 40.1 40.2 40.3 Gallup, G. G.; Burch, R. L. (January 1, 2004). "Semen displacement as a sperm competition strategy in humans". Evolutionary Psychology. doi:10.1177/147470490400200105. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-24.
  41. 41.0 41.1 41.2 Lever, J.; Frederick, D. A.; Peplau, L. A. (2006). "Does size matter? Men's and women's views on penis size across the lifespan". Psychology of Men and Masculinity. 7: 129–143. doi:10.1037/1524-9220.7.3.129.
  42. Harcourt, A. H.; Purvis, A.; Liles, L. (1995). "Sperm competition: Mating system, not breeding season, affects testes size of primates". Functional Ecology. 9 (3): 469–476. doi:10.2307/2390011. JSTOR 2390011.
  43. 43.0 43.1 Simmons, Leigh W.; Firman, Renée C.; Rhodes, Gillian; Peters, Marianne (2003). "Human sperm competition: testis size, sperm production and rates of extra pair copulations". Animal Behaviour. 68: 297–302. doi:10.1016/j.anbehav.2003.11.013.
  44. Harcourt, A. H.; Harvey, P. H.; Larson, S. G.; Short, R. V. (1981). "Testis weight, body weight and breeding system in primates". Nature. 293 (5827): 55–57. Bibcode:1981Natur.293...55H. doi:10.1038/293055a0. PMID 7266658.
  45. Freund, M. (1962). "Interrelationships among the characteristics of human semen and facts affecting semen specimen quality". Journal of Reproduction and Fertility. 4: 143–159. doi:10.1530/jrf.0.0040143. PMID 13959612.
  46. 46.0 46.1 Kelly, Clint D.; Jennions, Michael D. (2011-11-01). "Sexual selection and sperm quantity: meta-analyses of strategic ejaculation". Biological Reviews. 86 (4): 863–884. doi:10.1111/j.1469-185X.2011.00175.x. ISSN 1469-185X. PMID 21414127.
  47. Shackelford, Todd K.; Pound, Nicholas; Goetz, Aaron T. (2005). "Psychological and Physiological Adaptations to Sperm Competition in Humans". Review of General Psychology. 9 (3): 228–248. doi:10.1037/1089-2680.9.3.228.
  48. Baker, R. Robin; Bellis, Mark A. (1989-05-01). "Number of sperm in human ejaculates varies in accordance with sperm competition theory". Animal Behaviour. 37 (Pt 5): 867–869. doi:10.1016/0003-3472(89)90075-4.
  49. Shackelford, T (2002). "Psychological adaptation to human sperm competition". Evolution and Human Behavior. 23 (2): 123–138. doi:10.1016/s1090-5138(01)00090-3.
  50. Kilgallon, Sarah J.; Simmons, Leigh W. (2005-09-22). "Image content influences men's semen quality". Biology Letters. 1 (3): 253–255. doi:10.1098/rsbl.2005.0324. ISSN 1744-9561. PMC 1617155. PMID 17148180.
  51. Leivers, Samantha; Rhodes, Gillian; Simmons, Leigh W. (2014-09-01). "Context-dependent relationship between a composite measure of men's mate value and ejaculate quality". Behavioral Ecology. 25 (5): 1115–1122. doi:10.1093/beheco/aru093. ISSN 1045-2249.
  52. Thornhill, Randy; Gangestad, Steven W. (2008). The evolutionary biology of human female sexuality. Oxford; New York: Oxford University Press. ISBN 9780199712489.
  53. Shackelford, Todd K.; Goetz, Aaron T. (2007-02-01). "Adaptation to Sperm Competition in Humans". Current Directions in Psychological Science. 16 (1): 47–50. doi:10.1111/j.1467-8721.2007.00473.x. ISSN 0963-7214. S2CID 6179167.
  54. 54.0 54.1 Burch, R. L.; Gallup, G. G.; Mitchell, T. J. (2006). "Semen displacement as a sperm competition strategy: Multiple mating, self-semen displacement, and timing of in-pair copulations". Human Nature. 17 (3): 253–264. doi:10.1007/s12110-006-1008-9. PMID 26181472. S2CID 31703430.
  55. 55.0 55.1 55.2 55.3 55.4 55.5 Burch, R. L.; Gallup, G. G.; Parvez, R. A.; Stockwell, M. L.; Zappieri, M. L. (2003). "The human penis as a semen displacement device". Evolution and Behaviour. 24 (4): 277–289. doi:10.1016/S1090-5138(03)00016-3.
  56. 56.0 56.1 Euler, H. A.; Goetz, A. T.; Hoier, S.; Shackelford, T. K.; Weekes-Shackelford, V. A. (2005). "Mate retention, semen displacement, and human sperm competition: A preliminary investigation of tactics to prevent and correct female infidelity". Personality and Individual Differences. 38 (4): 749–763. doi:10.1016/j.paid.2004.05.028.
  57. O'Hara, K.; O'Hara, J. (1999). "The effect of male circumcision on the sexual enjoyment of the female partner". British Journal of Urology. 83 Suppl 1: 79–84. doi:10.1046/j.1464-410x.1999.0830s1079.x. PMID 10349418. S2CID 4154098.
  58. Goldenberg MM (1998). "Safety and efficacy of sildenafil citrate in the treatment of male erectile dysfunction". Clinical Therapeutics. 20 (6): 1033–48. doi:10.1016/S0149-2918(98)80103-3. PMID 9916601.
  59. Boczko S, Freed S (November 1979). "Penile carcinoma in circumcised males". New York State Journal of Medicine. 79 (12): 1903–4. PMID 292845.
  60. Andrews HO, Nauth-Misir R, Shah PJ (March 1998). "Iatrogenic hypospadias—a preventable injury?". Spinal Cord. 36 (3): 177–80. doi:10.1038/sj.sc.3100508. PMID 9554017.
  61. "Lynchings in Congo as penis theft panic hits capital". Reuters. 22 April 2017. สืบค้นเมื่อ 16 January 2017.
  62. 62.0 62.1 Alan Glasper, Edward; Richardson, James; Randall, Duncan (2021). "Promote, Restore, and Stabilise Health Status in Children". A Textbook of Children's and Young People's Nursing. Elsevier Health Sciences. p. 382. ISBN 9780702065033.
  63. Holman JR, Lewis EL, Ringler RL (August 1995). "Neonatal circumcision techniques". American Family Physician. 52 (2): 511–520. PMID 7625325.
  64. Chikutsa, Antony; Maharaj, Pranitha (July 2015). "Social representations of male circumcision as prophylaxis against HIV/AIDS in Zimbabwe". BMC Public Health (ภาษาอังกฤษ). 15 (1): 603. doi:10.1186/s12889-015-1967-z. ISSN 1471-2458. PMC 4489047. PMID 26133368. It is now generally accepted in public health spheres that medical male circumcision is efficacious in the prevention of HIV infection.
  65. Merson, Michael; Inrig, Stephen (2017). The AIDS Pandemic: Searching for a Global Response. Springer Publishing. p. 379. ISBN 9783319471334. This led to a [medical] consensus that male circumcision should be a priority for HIV prevention in countries and regions with heterosexual epidemics and high HIV and low male circumcision prevalence.
  66. New Data on Male Circumcision and HIV Prevention: Policy and Programme Implications (PDF) (Report). World Health Organization. March 28, 2007. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-02. สืบค้นเมื่อ 2007-08-13.
  67. "Male Circumcision and Risk for HIV Transmission and Other Health Conditions: Implications for the United States". Centers for Disease Control and Prevention. 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-20. สืบค้นเมื่อ 2013-11-07.
  68. Ubayd, Anis (2006). The Druze and Their Faith in Tawhid. Syracuse University Press. p. 150. ISBN 9780815630975. Male circumcision is standard practice, by tradition, among the Druze
  69. Patel, Manish; Atala, Anthony (2011-12-29). "Tissue Engineering of the Penis". The Scientific World Journal. 11: 2567–2578. doi:10.1100/2011/323989. ISSN 2356-6140. PMC 3253692. PMID 22235188.
  70. 70.0 70.1 70.2 Moore, Lisa; Casper, Monica (2014). The Body: Social and Cultural Dissections. Taylor & Francis. p. 74. ISBN 9781136771798.
  71. Andrew, Tom W.; Kanapathy, Muholan; Murugesan, Log; Muneer, Asif; Kalaskar, Deepak; Atala, Anthony (October 24, 2019). "Towards clinical application of tissue engineering for erectile penile regeneration". Nature Reviews Urology. 16 (12): 734–744. doi:10.1038/s41585-019-0246-7. ISSN 1759-4820. PMID 31649327. S2CID 204883088.
  72. Pozzi, Edoardo; Muneer, Asif; Sangster, Pippa; Alnajjar, Hussain M.; Salonia, Andrea; Bettocchi, Carlo; Castiglione, Fabio; Ralph, David J. (July 2019). "Stem-cell regenerative medicine as applied to the penis". Current Opinion in Urology. 29 (4): 443–449. doi:10.1097/MOU.0000000000000636. ISSN 0963-0643. PMID 31008782. S2CID 128353913.
  73. 73.0 73.1 Ude, Chinedu Cletus; Miskon, Azizi; Idrus, Ruszymah Bt Hj; Abu Bakar, Muhamad Bin (2018-02-26). "Application of stem cells in tissue engineering for defense medicine". Military Medical Research. 5 (1): 7. doi:10.1186/s40779-018-0154-9. ISSN 2054-9369. PMC 6389246. PMID 29502528.
  74. 74.0 74.1 Ferreira, Becky (October 6, 2014). "How to Grow An Artificial Penis". Vice News (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ November 19, 2020.
  75. Purpura, Valeria; Bondioli, Elena; Cunningham, Eric J; De Luca, Giovanni; Capirossi, Daniela; Nigrisoli, Evandro; Drozd, Tyler; Serody, Matthew; Aiello, Vincenzo; Melandri, Davide (December 22, 2018). "The development of a decellularized extracellular matrix–based biomaterial scaffold derived from human foreskin for the purpose of foreskin reconstruction in circumcised males". Journal of Tissue Engineering. 9: 2041731418812613. doi:10.1177/2041731418812613. ISSN 2041-7314. PMC 6304708. PMID 30622692.
  76. "世界首例异体阴茎移植成功 40岁患者数周后出院·广东新闻·珠江三角洲·南方新闻网". สืบค้นเมื่อ 16 January 2017.
  77. Sample, Ian (2006-09-18). "Man rejects first penis transplant". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 2010-05-22.
  78. Chen KL, Eberli D, Yoo JJ, Atala A (November 2009). "Regenerative Medicine Special Feature: Bioengineered corporal tissue for structural and functional restoration of the penis". Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America. 107 (8): 3346–50. Bibcode:2010PNAS..107.3346C. doi:10.1073/pnas.0909367106. PMC 2840474. PMID 19915140.
  79. Gallagher, James (13 March 2015). "South Africans perform first 'successful' penis transplant". BBC News. สืบค้นเมื่อ 16 January 2017.

แหล่งข้อมูลอื่น